เราสังเกตเห็นว่าคุณกําลังเยี่ยมชมเว็บไซต์ของสหราชอาณาจักร คุณต้องการเยี่ยมชมเว็บไซต์หลักของเราแทนหรือไม่?

Edge Computing

ทำไม 5G ถึงต้องใช้ Edge Computing ในศูนย์ข้อมูลไมโคร

#KingstonCognate ขอแนะนำ Simon Besteman

ภาพ Simon Besteman

Simon Besteman เป็นชาวฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์ผู้คร่ำหวอดอยู่ในอุตสาหกรรม ICT และศูนย์ข้อมูล เขาทำงานให้กับกลุ่ม ISP ซัพพลายเออร์และศูนย์ข้อมูลต่าง ๆ มาเป็นเวลากว่า 20 ปีและเคยรับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการบริหารขององค์กรขนาดใหญ่มากมาย Simon ยังเคยดำรงตำแหน่งระดับผู้บริหารอาวุโสในบริษัทข้ามชาติอีกหลายแห่ง ทั้งในด้านการให้บริการ การขายและการตลาด การบริหารส่วนปฏิบัติการ และการพัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจ

ปัจจุบัน Simon ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของ Dutch Cloud Community กลุ่มผู้ให้บริการโฮสต์ภายในเครือข่ายของเนเธอร์แลนด์ ในฐานะบุคคลระดับแนวหน้าของกลุ่มอุตสาหกรรม เขาได้ใช้โอกาสหลาย ๆ ครั้งทำหน้าที่เป็นบล็อกเกอร์ให้ความรู้ในกลุ่มอุตสาหกรรมและด้านนโยบาย และยังเป็นผู้บรรยายคนสำคัญในงานประชุมขนาดใหญ่หลายงาน และยังเคยร่วมเสวนากับภาครัฐของเนเธอร์แลนด์ในการพิจารณาประเด็นด้านโทรคมนาคม ศูนย์ข้อมูล และการกำกับดูแลการใช้งานอินเทอร์เน็ต เขารับตำแหน่งคณะกรรมการให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ มากมาย ทั้งในด้านการศึกษา การจ้างงาน และการควบคุมดูแลบริษัท

อะไรที่ทำให้ศูนย์ข้อมูล Edge มีความจำเป็น

เทรนด์สำคัญทั่วโลกในกลุ่มศูนย์ข้อมูลตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาคือความคุ้มค่าต่อการลงทุนโดยอาศัยศูนย์ปฏิบัติการที่มีขนาดใหญ่หรือศูนย์ข้อมูลในระดับไฮเปอร์สเกล เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อไป ต้นทุนในการดำเนินงานต่อแร็คและต่อเซิร์ฟเวอร์มีอัตราลดลงหากสามารถแชร์ค่าใช้จ่ายหมุนเวียนต่าง ๆ ได้โดยอาศัยเซิร์ฟเวอร์หลาย ๆ ตัวที่ร่วมแบกภาระค่าใช้จ่ายเข้าด้วยกัน ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่จะทำการเชื่อมต่อได้สะดวกกว่า นอกจากนี้เมื่อเทียบกันแล้วศูนย์ปฏิบัติการขนาดใหญ่ยังพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับด้านพลังงานสำรอง (2N, 2N+) ได้สะดวกกว่าอีกด้วย เมื่อใช้งานร่วมกันแล้ว ลูกค้าที่มีความหลากหลายอย่างมากเปิดโอกาสในการเชื่อมโยงผู้ใช้บริการศูนย์ข้อมูลเหล่านี้เข้ามาใช้งานภายใต้โครงสร้างบริการแบบพึ่งพาอาศัยกัน

เทรนด์ไปสู่การเกิดขึ้นของศูนย์ข้อมูลไมโครที่ใช้ Edge

เส้นแบ่งเครือข่ายทางสังคม

ตั้งแต่ก่อนหน้านี้จนถึงเมื่อหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ทั่วโลกมีศูนย์ข้อมูลระดับไฮเปอร์สเกลเปิดให้บริการกว่า 500 ศูนย์ทั่วโลก เทรนด์นี้คาดว่าจะมีการหดตัวลงได้ทุกเมื่อในเร็ว ๆ นี้ ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี ผู้ให้บริการคลาวด์, Amazon, Apple, Facebook, Google และ Microsoft ต่างมองเห็นโอกาสครั้งสำคัญในการเติบโตแบบปีต่อปีในยุคที่ระบบ IT แบบติดตั้งในพื้นที่จะค่อย ๆ โอนย้ายไปสู่ระบบคลาวด์มากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ต้องการกำลังการประมวลผลที่มากขึ้นและประสิทธิภาพในการระบายความร้อนที่ดีกว่าก่อน สัดส่วนข้อมูลที่เกิดขึ้นและจะต้องถูกใช้งานโดยเครื่องอื่น ๆ (อุปกรณ์อัตโนมัติ) ก็มีการเติบโตตามไปด้วย ทำให้มีแนวโน้มที่ศูนย์ข้อมูลจะต้องมีขนาดใหญ่ในช่วงอนาคตอันใกล้

ในขณะเดียวกัน เราก็เห็นเทรนด์คู่ขนาดของศูนย์ข้อมูลไมโครที่มุ่งเข้าหา “Edge (ขอบ)” มากขึ้น ซึ่งเป็นที่ที่มีการผลิตและใช้ข้อมูล ศูนย์ข้อมูลที่ขอบของเครือข่ายต่าง ๆ เหล่านี้เรียกว่าศูนย์ข้อมูล Edge
 ศูนย์ข้อมูล Edge มักจะมีขนาดเล็กกว่าศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ทั่ว ๆ ไปและมีขึ้นเพื่อเสริมโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เดิม ศูนย์ข้อมูลนี้ทำหน้าที่แก้ไขปัญหาในปัจจุบันและยังเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการเตรียมพร้อมโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT ของอนาคตด้วย ปัญหาที่ศูนย์ข้อมูลแบบนี้เข้ามาจัดการหนึ่งเรื่องคือเรื่องการเชื่อมต่อ

ศูนย์ข้อมูล Edge ช่วยให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น

จุดอ่อนของการรวมศูนย์ข้อมูลคือศูนย์ข้อมูลจะเป็นแกนกลางสำคัญของระบบเครือข่ายและผู้ใช้ทั้งหมดก็จะต้องเชื่อมต่อกับเข้ากับจุดศูนย์กลางเพื่อสืบค้นข้อมูล กรณีเช่นนี้ทำให้เกิดผลลัพธ์สองประการได้แก่ ทำให้ต้องใช้แบนด์วิธเป็นจำนวนมากและเกิดปัญหาค่าหน่วงเวลา (เวลาที่ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูล) ที่ไม่สามารถลดลงได้อย่างเพียงพอสำหรับจัดการการใช้งานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การนำศูนย์ข้อมูลมาที่ชายขอบ (Edge) จึงทำให้การจัดการกระแสข้อมูลเกิดประสิทธิภาพกับผู้ใช้มากกว่า แทนที่จะต้องเชื่อมต่อกับศูนย์ข้อมูลไฮเปอร์สเกลเพื่อดาวน์โหลดชุดข้อมูล ข้อมูลจะถูกแคชไว้ที่ศูนย์ข้อมูล Edge เพื่อให้อยู่ใกล้กับผู้ใช้มากกว่า ข้อมูลเพียงแค่ต้องเดินทางจากชายขอบหนึ่งไปถึงผู้ใช้ปลายทางเท่านั้น นอกจากนี้ยังช่วยให้การตอบสนองเร็วมากขึ้นเนื่องจากข้อมูลใช้ระยะทางสั้น ๆ เท่านั้นในการเดินทาง

ปัญหาที่สองที่ Edge เข้ามาแก้ไขคือประเด็นที่กำลังเริ่มเป็นปัญหาและจะเห็นได้ชัดเจนที่สุดในช่วง 24 - 36 เดือนต่อจากนี้ นั่นคือปริมาณข้อมูลที่ถูกจัดทำและแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ส่วนประกอบหลัก ๆ สองประการมีอยู่สองอย่างซึ่งมีความเชื่อมโยงกัน ได้แก่ IoT และ 5G

ข้อมูลที่จัดทำจากเครื่องจักร

การเพิ่มขึ้นของข้อมูลในทศวรรษที่ผ่านมามีปัจจัยสำคัญมาจากการบริโภคของมนุษย์ (คนเริ่มมีการดูวิดีโอทางโทรศัพท์และใช้แอพเพื่อทำธุรกรรมธนาคารหรือจับจ่ายสินค้า) กระแสข้อมูลชุดต่อไปจะเป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นจากตัวอุปกรณ์และเครื่องจักรต่าง ๆ ซึ่งจะมีการประมวลผล วิเคราะห์ และดำเนินการโดยเครื่องจักรอื่น ๆ นี่เป็นข้อมูลอีกรูปแบบ ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าที่เราใช้กันในปัจจุบันมาก เรากำลังพูดถึงการผลิตข้อมูล (ที่จำเป็น) โดยรถยนต์ที่กำลังเคลื่อนที่ ผ่านเซ็นเซอร์บนท้องถนนสำหรับเมืองอัจฉริยะ อุปกรณ์ด้านการเกษตร การผลิตและด้านสิ่งแวดล้อม จำนวนข้อมูลมหาศาลอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน (รถขับเคลื่อนเองอาจต้องใช้ข้อมูลมากถึง 40 เทราไบต์ต่อเวลา 8 ชั่วโมง) จะต้องผ่านการคัดกรองและรวบรวมเพื่อให้ใกล้กับแหล่งที่มามากที่สุด และจะต้องเป็นข้อมูลในรูปแบบที่ประมวลผลแล้วสำหรับระบบคลาวด์จากส่วนกลาง เมืองอัจฉริยะ, IoT, และบริการจัดส่งผ่านโดรนก็จะต้องอาศัยศูนย์ข้อมูลไมโคร Edge เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จาก 5G ได้อย่างเต็มที่ Kingston Technology คือหนึ่งในผู้ผลิตที่มีการคาดการณ์สถานการณ์นี้ และเราได้รวบรวมระบบการทำงานต่าง ๆ ในตลาดเข้าไว้ด้วยกันเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเงื่อนไขในการทำงานแบบพิเศษเหล่านี้

5G

อุปกรณ์อัจฉริยะที่มีอยู่ในทุกที่และเชื่อมต่อผ่านเครือข่าย 5G ความเร็วสูง

5G จะกลายเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ ขั้นตอนต่อไปของระบบการสื่อสารแบบพกพาจะเริ่มเกิดขึ้นให้เห็นอย่างช้า ๆ เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2020 ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้ความเร็วในการเชื่อมต่อมากขึ้น (เร็วกว่าค่าเฉลี่ยถึง 100 เท่า) แต่ 5G ยังช่วยให้เราสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้ถึงหนึ่งล้านตัวต่อพื้นที่หนึ่งตารางกิโลเมตร เซ็นเซอร์ในทุก ๆ ตารางฟุตจะสามารถส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์เพื่อแจ้งความชื้นของดิน ซึ่งจะทำให้ระบบชลประมาณมีความแม่นยำมากขึ้น การจัดการน้ำจะมีความแม่นยำสูงกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เซ็นเซอร์ในบ้านของเราจะสามารถส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์เพื่อแจ้งข้อมูลสุขภาพ สภาพแวดล้อมและข้อมูลด้านพลังงานให้แก่เรา ในภาคอุตสาหกรรม 5G จะช่วยในการจัดการชิ้นส่วนจากระยะไกล และปรับระบบควบคุมคุณภาพและเครือข่ายการจัดหาวัสดุอุปกรณ์ให้ทำงานโดยอัตโนมัติ การเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อแนวทางการทำงานและดำเนินชีวิตของเรา

การเติบโตของศูนย์ข้อมูลไมโคร 5G ในระบบโทรคมนาคม

ปัจจุบันการใช้งานไซต์เครือข่ายแบบ Edge ถูกขับเคลื่อนโดยกลุ่มผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมในรูปแบบของศูนย์ข้อมูลไมโคร อุตสาหกรรมดังกล่าวมีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมและมีทรัพยากรที่จำเป็นเพื่อต่อยอดโครงสร้างการใช้งาน ธุรกิจนี้คือกลุ่มผู้บุกเบิก Edge เบื้องหลังธุรกิจดังกล่าวคือกลุ่มผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลเชิงพาณิชย์ซึ่งคาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตามมาอย่างรวดเร็ว

ความต้องการที่มีต่อศูนย์ข้อมูล Edge เนื่องจากการเกิดขึ้นของเครือข่าย 5G จะค่อนข้างแตกต่างจากศูนย์ข้อมูลในปัจจุบัน เนื่องจากศูนย์ข้อมูลจะมีขนาดเล็กและต้องใช้พลังงานน้อยกว่า และจะต้องพร้อมรองรับการสื่อสารและจัดเก็บข้อมูลโดยเฉพาะผ่าน SSD สำหรับศูนย์ข้อมูล Kingston Technology มีการพัฒนาหน่วยความจำและสื่อบันทึกข้อมูลมาอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับความต้องการทั้งในเชิงปริมาณและความเร็ว

เข้าที่ ระวัง ไป: นี่คือเวลาที่จะต้องเตรียมพร้อมสำหรับ Edge:

สนามแข่งขันใหม่กำลังจะเกิดขึ้น และเราจะต้องปรับตัวเข้ากับความเป็นจริงใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้น นี่คือเวลาในการเตรียมพร้อมสำหรับ Edge นี่เป็นศูนย์ข้อมูลอีกรูปแบบที่มีเงื่อนไขการทำงานแตกต่างจากที่เราคุ้นเคย การเตรียมความพร้อมมีความจำเป็นต่อความสำเร็จสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่นี้ วิธีเริ่มต้นคือการเข้าถึงกลุ่มคนที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อให้คุณสามารถเตรียมพร้อมได้อย่างถูกต้อง

#KingstonIsWithYou

Ask an Expert

Kingston ให้โอกาสแก่คุณในการแสดงความเห็นโดยอิสระเกี่ยวกับโครงร่างการทำงานของคุณในปัจจุบันหรือแผนการใช้งานในอนาคตที่เหมาะสมสำหรับหน่วยงานของคุณ

SSD สำหรับองค์กร

เรามีคำแนะนำเกี่ยวกับข้อดีต่าง ๆ ของ Enterprise SSD สำหรับระบบจัดเก็บข้อมูลของคุณ และ SSD ที่เหมาะกับการการทำงานของคุณที่ต้องการความสมดุลระหว่างงานอ่านและเขียนข้อมูลแบบสุ่มในระดับสูงและ IOPS ในระดับที่มีเสถียรภาพเต็มที่

ถามผู้เชี่ยวชาญระบบ SSD

หน่วยความจำเซิร์ฟเวอร์

เราพร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับประโยชน์ในการกำหนดโครงร่างการทำงานแบบต่าง ๆ ของเซิร์ฟเวอร์ของคุณเพื่อให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและมีความจุสูงสุด ผู้เชี่ยวชาญด้านการกำหนดโครงร่างการทำงานมีความรู้และแหล่งข้อมูลเพื่อช่วยคุณในการอัพเกรดหน่วยความจำอย่างถูกต้อง

สอบถามผู้เชี่ยวชาญด้านหน่วยความจำ

บทความที่เกี่ยวข้อง